แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้อยู่ในช่วงหน้าฝน แต่ก็มีบางครั้งบางคราว ที่ธรรมชาติแปรปรวน
ก่อให้เกิดพายุ และอาจมีฝนต กลงมาอย่ างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ซึ่งโดยปกติ คนส่วนใหญ่เมื่อเจอลมเจอฝน ก็จะต้องรีบวิ่งเข้าที่กำบังหลบฝน
แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย เพราะว่าฝนหลงฤดูนั้นส่วนมากจะเป็นห่าใหญ่
ที่แม้ว่าเราจะรีบสักปานใด ก็จะยังคงต้องเปียกเหมือนเดิม
ในขณะที่ห มู่ชนคนกลุ่มใหญ่ ต่างวิ่งแต กตื่นหลบฝนหลบพายุอยุ่นั้น
กลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า “อาเต้า” เขาเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถวอยู่ในตลาด
ซึ่งวันนั้นเขาปิดร้านเพื่อมาทำธุระที่ต่างเมือง
และเมื่อถึงขากลับฝนก็ต กลงมาพอดี ตอนที่ลมฝนพัดคะนองอยู่นั้น
อาเต้ากลับเดินฝ่าสายฝนทอดน่องไปเรื่อย ๆ เหมือนเป็นวันปกติธรรมดาที่ไม่มีฝนต กลงมา
ที่น่าแปลกใจคือ ตัวเขาไม่มีเครื่องป้องกันฝนใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อหรือว่าร่มกันฝนก็ตาม
ขณะนั้นเอง “อาเวิ่น” ซึ่งเป็นสหายของเขานั้น ก็กำลังวิ่งฝ่าสายฝนมาพอดี
พลันเห็นสหายของตนเอง เดินอย่ างไม่อนาทรร้อนใจใด ๆ เลย
จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “อาเต้า ทำไมเจ้าไม่รีบเดินเ สียเล่า ฝนต กหนักฟ้าคะนองปานนี้”
เมื่ออาเต้าได้ฟังคำกล่าวของสหายที่ห่วงใยเขา เขาจึงกล่าวตอบไปว่า
“ฝนต กหนักเช่นนี้ ไม่ว่าจะวิ่งหรือเดินช้า ๆ ก็ย่อมเปียกเหมือนกันหมด
แล้วข้าจะวิ่งไปใยเล่า หากว่าข้าวิ่งไปแล้วนั้น เกิดลื่นล้ มขึ้นมา แข้งขาเคล็ดไม่แ ย่ไปกันใหญ่รึ”
เหมือนกับตอนที่เรากำลังมีปัญหาหนักนั่นแหละ การรีบร้อนก็จะทำให้เราทำอะไรผิ ดพลาดได้ง่าย
แต่หากว่าเราค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ แม้ว่าจะเปียกหน่อย แต่ก็ช่วยทำให้เราไม่เ จ็บ หรือเสี ยหายหนักนั่นเอง
สุภาษิตสอนใจ “เมื่อเปียกแล้วรีบร้อนก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเกิดปัญหาแล้วร้อนรนก็ไร้ค่า”
นิทานจีนเพื่อนักธุรกิจ สอนให้คิดแบบปรัชญา
ขอบคุณที่มา : aansanook