Home ข้อคิดดีๆ ฉันต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ถ้าหากฉันต้องแ ก่

ฉันต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ถ้าหากฉันต้องแ ก่

14 second read
ปิดความเห็น บน ฉันต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ถ้าหากฉันต้องแ ก่
0
545

ต้องเข้าใจก่อนว่า ในสมัยก่อนนั้นมีแนวคิดที่ว่า มีลูกเพื่อหวังจะให้พวกเขาเลี้ยงดูในย ามอายุมากขึ้น

ในวัยที่ร่ างกายเริ่มโรยราดูแลตัวเองไม่ไหวแล้ว ซึ่งก็มักจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ

 

แต่ว่าหากจะมองในความเป็นจริงแล้วมันยังจะใช้ความคิดแบบนี้ได้อยู่ไหม “ มีลูกไว้… ตอนแ ก่จะได้มีคนเลี้ยงดู ”

ซึ่งมันจะแปลได้อีกทางว่า หากลูกไม่ยอมเลี้ยงดูคืออกตัญญูอย่ างนั้นหรือ แบบนี้เป็นแนวคิดที่เห็นแ ก่ตัวของพ่อแม่ไปหรือเปล่า

 

ในปัจจุบันนี้ก็มีคนวัยชราหลายคนมากที่เข้ากับครอบครัวของลูก ๆ ไม่ได้ บางทีความคิดแบบเดิม

มันอาจจะต้องปรับแล้วก็ได้ทำไมไม่คิดว่าอย ากจะให้ลูกเลี้ยงดูในตอนแ ก่เป็นการ จะเอาสมัยก่อนกับปัจจุบันมาเที่ยวกันมันไม่ได้

 

ที่พ่อแม่มีลูกตั้งหลายคนยังเลี้ยงได้ ทำไมลูกเลี้ยงพ่อแม่บ้างไม่ได้ ซึ่งมันก็อาจจะน่าคิด

แต่ลองมองถึงค่าครองชีพและการใช้ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันสิมันเหมือนสมัยก่อนงั้นหรือ

 

เรามีเรื่องราวน่าอ่ านและอย ากให้ทุ กคนทำความเข้าใจตาม ทั้งในมุมของคนเป็นพ่อแม่และในมุมของความเป็นลูก

เรื่องราวมี ดังนี้มีคุณแม่คนหนึ่ง สามีจากไปนานแล้ว เธอสอนหนังสือหาเ งินเลี้ยงลูกชายจนโต

 

เขาเป็นคนเชื่อฟังตั้งแต่ตอนเล็ก พอลูกโต เธอก็ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ พอลูกเรียนจบก็อยู่ทำงานต่อที่ต่างประเทศ

ทำงาน หาเ งิน ซื้อบ้าน แต่งงาน มีลูกหนึ่งคน สร้างครอบครัวที่แสนสุข

 

ตัวเธอเองคิดถึงประโยคที่ว่ามีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแ ก่ คิดถึงสายตาอิ จฉาของญาติ ๆ

และเพื่อนฝูงเธอมีความสุขจากใจ ระหว่างรอจดหมายตอบจากลูกชาย เธอก็จัดการเรื่องบ้านและงานจนเรียบร้อย

 

คืนสุดท้ายก่อนเธอจะเกษียณ เธอก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากต่างประเทศของลูกชาย

พอเปิดออกดูข้างในก็เป็นเช็คต่างประเทศ ตีเป็นเงิ นไทยได้มูลค่าประมาณ 1 แสนบาท

เธอรู้สึกแปลกใจมากเพราะลูกชายไม่เคยส่งเงิ นให้เธอมาก่อน เธอรีบเปิดจดหมายออกอ่ าน ในจดหมายเขียนว่า

 

“แม่ครับ พวกเราได้คุยกันแล้ว ตัดสินใจ และสรุปว่า พวกเราไม่ยินดีให้แม่มาอยู่ด้วยกันที่นี่

ถ้าแม่คิดว่าแม่มีบุญคุณที่เลี้ยงดูผมมา คำนวณตามราคาตลาดก็ประมาณเ งินที่ผมส่งให้นี้ หวังว่าต่อไปนี้แม่จะไม่เขียนจดหมายมาอีก”

 

แม่อ่ านจดหมายฉบับนั้นจบก็น้ำตาไหลพราก รู้สึกว่าตัวเองลำบากเลี้ยงลูกคนเดียวมาตลอดชีวิต

จากนี้ไปต้องอยู่อย่ างโดดเดี่ยว เธอรู้สึกแ ย่มาก จากแต่ ก่อนที่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับลูก

 

แต่มาตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ต่อมาเธอก็ศึกษาพ ระพุทธศ าสนา หลังศึกษาเธอก็คิดได้

เธอใช้เ งินที่ลูกได้มอบให้มาเอาไปเดินทางเที่ยวรอบโลก ได้เรียนรู้โลกกว้าง ได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ มากมาย

 

หลังจากนั้นเธอจึงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับถึงลูกชาย ในจดหมายว่าลูกรักลูกไม่อย ากให้แม่เขียนจดหมายมาอีก

ก็ถือซะว่าจดหมายฉบับนี้เป็นข้อความเพิ่มเติมจากฉบับที่แล้วละกัน แม่ได้รับเช็คแล้ว

 

และใช้เ งินจำนวนนั้นไปเดินทางรอบโลก ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว อยู่ ๆ แม่ก็รู้สึกว่า

แม่ควรขอบใจลูกขอบใจที่ทำให้แม่เห็นอะไรทะลุปรุโปร่ง ปล่อยวาง ทำให้แม่ได้เห็นว่า

ความสัมพันธ์ในครอบครัวเพื่อน และคนรักไม่มีรากหยั่งลึก เปลี่ยนแปลงได้เสมอ

 

ถ้าวันนี้แม่ยังคิดไม่ต ก ยังยึดติ ด ยังทุ กข์อยู่ แม่คงสิ้นลมหายใจไปภายในปีครึ่งปี

การปฏิเสธของลูกทำให้แม่ได้เห็นว่าคนเรามีวาสนาก็ได้เจอ หมดวาสนาก็จากกัน ทุ กอย่ างไม่เที่ยงแท้

 

ทำให้แม่เรียนรู้ที่จะสงบและใจเย็น มองทุ กอย่ างในเชิงบวก

แม่ไม่มีลูกแล้วไม่มีอะไรให้เป็นห่วง เพราะงั้นแม่ถึงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีมัน “

 

“พ่อแม่ที่น่าสงส าร” คนเป็นพ่อแม่อย ากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้รับ

กลับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดมีคนกล่าวไว้ว่าบ้านของพ่อแม่คือบ้านของลูกตลอดเวลา บ้านของลูกไม่เคยเป็นบ้านของพ่อแม่

 

การให้กำเนิดลูกเป็นงานที่ต้องทำ การเลี้ยงดูลูกเป็นภาระหน้าที่ การพึ่งพาลูกเป็นความเข้าใจผิดช่าง

เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าฟัง แต่ก็ไม่ฟังก็ไม่ได้ แม้ว่าไม่ใช่ลูกทุ กคนจะเป็นแบบนี้

 

แต่คนเป็นพ่อแม่ไม่ควรคิดว่าแ ก่แล้วจะพึ่งพาลูก พูดกันตามตรง อย่ าคาดหวังอะไรจากลูก ๆ

แม้คุณจะเลี้ยงดูเขามาอย่ างดีแล้วก็ตาม ต้องฝึกดูแลตัวเอง ลูกกตัญญูต่อคุณถือเป็นบุญ

ถ้าลูกกตัญญูไม่พอพ่อแม่ก็บังคับไม่ได้ วิ ธีที่ดีที่สุดคือ วางแผนชีวิตพึ่งพาตัวเองตอนแ ก่ไว้

 

จากมุมมองของสังคม การมีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแ ก่เป็นความปรารถนาในใจ

แต่ในยุคปัจจุบัน เศรษฐกิจสังคม วัตถุนิยม วิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป สถานการณ์ในปัจจุบันคือ คนยุคใหม่เปลี่ยนไป

 

คนอายุมากยังยึดติ ด การที่คนอายุมากยึดแนวความคิดว่ามีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแ ก่ไม่เหมาะสมกันอีกต่อไป

สิ่งที่ตามมาคือ ความผิดหวังบนความคาดหวังที่ไม่สามารถคาดเดาได้

 

พ่อ แม่ ทวงบุญคุณกับลูกได้แต่มันไม่ใช่ลูกทุ กคนที่มีศักยภาพพอที่จะดูแลพ่อแม่ได้

เพราะเพียงแค่ชีวิตและครอบครัวของเรามันก็ต้องดูแลเช่นกัน การวางแผนดูแลตัวเองตอนแ ก่

จึงเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อ แม่คนควรวางแผนและอย่ าฝากความหวังทั้งหมดมาทิ้งไว้ที่ลูกได้แล้ว

มันไม่ใช่ความผิดของลูกที่ดูแลคุณไม่ได้ แต่มันผิดที่คุณที่ไม่ยอมดูแลตัวเองต่างหาก ฝากไว้ให้คิดกันนะ

 

ขอบคุณที่มา : wansukth

Load More Related Articles
Load More By erz
Load More In ข้อคิดดีๆ
Comments are closed.

Check Also

ตัวเราก็มีค่า ในแบบตัวเรา

เมื่อชีวิตต้องพบ กับความผิดหวัง แพ้พ่าย เสี ยใจ การมีใค … …