ความคิดไม่ดี ถ้ายังไม่เติบกล้าพอ ยังอยู่ในระดับการผุดความจำขึ้นมาลอย ๆ ยังไม่ได้จงใจคิด
ใจก็ยังไม่เปื้อนบาป กร รมยังไม่ครบวงจร ยังไม่มีบาปติ ดตัวไปให้ต้องชดใช้
ความรู้ข้อนี้ช่วยให้หลายคนสบายใจขึ้นมากที่คิดไม่ดีแล้วเป็นบาป ตัดสินกันที่
1. มีความยินดีในความคิดนั้น
2. มีความหนักแน่นยั่งยืนที่จะยินดีในความคิดนั้น
3. ยินดีที่จะพูดและทำตามความคิดนั้น
แค่คิดเฉย ๆ ยังไม่ได้บอกว่าคุณเป็นอย่ างไร ถ้าเริ่มคิดร้ ายขึ้นมา แล้วรู้สึกไม่ยินดี
ไม่อย ากให้อยู่ในหัวของเรา อันนั้นไม่ถือว่าเป็นความคิดของเรา
ยิ่งถ้าตั้งใจเด็ดข าดว่าจะไม่พูด และไม่ทำตามความคิดนั้น ก็ยิ่งชี้ชัดที่สุดว่า
คุณไม่มีทางเป็นไปตามอำนาจความคิด ที่พย าย ามครอบงำคุณแน่ ๆ สบายใจได้ครับ
คุณต้องรับมือ กับความคิดแ ย่ ๆ ด้วย สติ ไม่ต้อนรับ ไม่ต่อต้าน ไม่ใช่พย าย ามฝืนปฏิเสธ ไม่ใช่พย าย ามทำให้มันดับ
แบบนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น คือการเหนื่อยเปล่า ทุ กข์มากขึ้นไปอีก สักแต่ยอมรับตามจริง
นั่นแหละครับเท่ากับมีสติแล้ว เพราะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ในขณะนั้น
เมื่อมีสติก็มีความสว่าง เมื่อความสว่างมา ความมืดก็หายไป หรือค่อย ๆ เบาบางลงทุ กที
พอเกิดความคิดแ ย่ ๆ เสี ยดแ ทงจิตใจปั๊บ ปลงใจยอมรับ โดยดุษณีว่ามันเกิดขึ้น
คุณจะเห็นถนัดด้วยสติในบัดนั้นว่า รู้สึกแ ย่ขนาดไหน ทรม านใจเพียงใด
และชั่ วเวลาขณะต่อมาที่ยังมีสติ ดี ๆ นั่นเอง
คุณก็ได้เห็นอีกว่ามันแผลงฤทธิ์ไม่นาน เดี๋ยวก็ค่อย ๆ อ่อนกำลังลง
ทั้งที่คุณไม่ได้ออกแรงผลักไสแม้แต่น้อย ด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้น
จากการเห็นว่า มันมาเองได้ ก็ไปเองได้อย่ างนี้ พอบ่อยเข้า ใจคุณจะจำว่ามันไม่ใช่ตัวคุณ
และคุณจะไม่ยินดี ไม่ยินร้ ายกับมันออกมาจากใจ รับมือกับความคิดแ ย่ ๆ เฉพาะหน้าได้บ่อย ๆ
ในที่สุดก็จะกลายเป็น มีสติในระยะย าว และกลายเป็นความสว่างรุ่งเรืองในระยะย าว
ดูเหมือนง่าย แต่ได้ผลจริงครับ ถ้าทำทุ กครั้ง
ขอบคุณที่มา : dhammasawatdee