การเป็นหัวหน้างานที่ดี ได้นั้น จำเป็นที่ต้องเข้าใจบทบาทของการนำลูกน้องเพื่อเป้าหมายไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน
ไม่ใช่ต่างคนต่างไป คนละทิศคนละทางแบบนั้นคง ย า ก ที่จะประสบความสำเร็จตามที่องค์กรคาดหวังไว้ดังนั้น
เมื่อเราถูกแต่งตั้งให้ขึ้นมานำทีมแล้วไซร้
การเข้าใจบทบาทย่อมมีความสำคัญโดยเฉพาะ คำว่า ภาวะผู้นำ ที่ผู้นำ ทุ ก คนควรตระหนักในบทบาทหน้าที่
และความรับผิดชอบมากกว่า อำนาจที่ได้รับในแต่ละวัน ซึ่งหากพูดถึง ภาวะผู้นำ ในมุมมองของผู้นั้น
ผมเชื่อว่าคนที่มีภาวะผู้นำสิ่งแรกที่เขาจะใช้ก่อน คือ เรื่องของใจ
หรือพูดแบบง่าย ๆ คือ อ ย า ก ได้อะไรจากใคร เขาจะพร้อมให้คนอื่นแบบนั้นก่อนเสมอ เช่น อ ย า ก ได้รอยยิ้มจากคนรอบข้าง
คนที่มีภาวะผู้นำเขาจะไม่รอให้คนอื่นมายิ้มก่อน แต่พร้อมจะยิ้มให้คนอื่นก่อนเสมอ หรือ อ ย า ก ได้การเคารพ
ให้เกียรติจากคนรอบข้าง
คนที่มีภาวะผู้นำเขาจะพร้อมให้ความเคารพต่อผู้อื่น ให้เกียรติผู้อื่นในการทำงานร่วมกันอยู่เสมอดังนั้น คนที่มีภาวะผู้นำ
ต้องพร้อมที่จะนำคนอื่น มีความคิดในเชิงบวกอยู่เสมอ มองโลกตามความเป็นจริงไม่ยึด ติ ด พร้อมเปิดใจรับฟังสิ่งต่าง ๆ
รอบตัวในการทำงานให้ดีขึ้น
เป็นตัว อ ย่ า ง ที่ดีให้ผู้ตามได้เห็นและนำไปปรับใช้เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า รู้จัก ก ร ะ ตุ้ น จูงใจ ให้กำลังใจได้ในวัน
ที่ผู้ตามท้อถอย และกล้าที่จะแนะนำ สอนในสิ่งที่ดี เพื่อ ก ร ะ ตุ้ น ความคิดให้ผู้ตามมีแนวทางในการพัฒนาตนเอง
และพัฒนางานให้ดีขึ้นใน ทุ ก ๆ วัน
นั่นคือ สิ่งที่ผมเชื่อว่า ผู้นำที่ดีควรต้องปฏิบัติ แต่เชื่อไหมครับ จากประสบการณ์ที่ผมทำงานด้านบุคคลและปัจจุบัน
ผันตัวเอง มาเป็น วิ ท ย า ก ร แก้ไขปัญหาให้องค์กรต่าง ๆ ผมพบว่า ปัญหาที่คนส่วนใหญ่ลาออมักเกิดจากหัวหน้างาน
เพราะหัวหน้างานบางคน ไม่เข้าใจในบทบาทของการเป็นผู้นำที่มีภาวะผู้นำ และมักใช้อำนาจใช้คำพูด ใช้ กิ ริ ย า ท่าทางที่ไม่ดี
จนทำให้ลูกน้อง ข า ด ความเคารพจนสุดท้ายทนไม่ไหว ก็ลาออกไปซึ่งบทความนี้ผมขอนำเสนอ 5 พฤติ ก ร ร ม
ที่ผู้นำไม่ควรทำต่อลูกน้องใน ทุ ก ๆ วัน มีอะไรบ้างตามมา อ่ า น กันครับ
1.ข า ด การเคารพ ให้เกียรติลูกน้อง
เพราะการสวมบทบาท ของหัวหน้างาน คือ การใส่หัวโขน ซึ่งหัวโขนที่ใส่อยู่นั้น ก็ไม่ควรทะนงตนว่า เราคือ หัวหน้างานมีอำนาจ
ในการสั่งงาน ชี้นิ้วกับลูกน้อง เพราะการเอาแต่ชี้นิ้ว แต่ไม่เคยสอน ไม่เคยคุย ไม่เคยถาม ลูกน้อง จะทำให้การทำงาน
ตรึง เ ค รี ย ด มากกว่าทำงานด้วยความสนุกสนาน
วันนี้ลองทำแบบใหม่นั่นคือเจอหน้าลูกน้องก็เริ่มด้วยการทักทายพูดคุย ถาม ส า ร ทุ ก ข์สุกดิบกันบ้างก่อนเริ่มทำงานสร้าง
ความพร้อมก่อน เริ่มงานด้วยการพูดคุยเน้นย้ำเป้าหมายในสิ่งที่ทำ หากเจอปัญหาก็หันหน้ามาคุยกันแก้ไขปัญหา
ไปด้วยกันมากกว่าปล่อยปัญหาสะสมจน ย า ก จะแก้ไข
หรือ หากเรามีลูกน้องที่อายุมากกว่า ก็ลองให้เกียรติลูกน้องคนนั้น ด้วยการยกมือไหว้สวัสดี เปิดการทักทายต่อลูกน้อง
ก่อนดีกว่าทำตัวนิ่ง ๆ หน้าบึ้ง ๆ เพราะการครองใจผู้อื่นได้นั้น เราต้องเริ่มต้นจากการให้ใจคนอื่นก่อนจำไว้ว่า
เราเปลี่ยนแปลงคนอื่นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้ครับ
2. ตำหนิผลงาน ที่ ผิ ด พ ล า ด ต่อหน้าลูกน้องคนอื่น
การเป็นหัวหน้างาน ที่ดีได้นั้น ต้องคำนึงเรื่องการพูดอยู่เสมอเพราะก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด แต่เมื่อพูดไปแล้วคำพูด
จะเป็นนายเราย่อม ย า ก ที่จะหวนคืนกลับมา ดังนั้น จงคิดก่อนพูด ทุ ก ครั้งและ อ ย่ า ใช้คำพูดที่ทำให้ลูกน้อง
เ สี ย หาย เ สี ย หน้า เ สี ย ใจ และ เ สี ย ความรู้สึก
โดยเฉพาะการตำหนิผลงานที่ ผิ ด พ ล า ด ต่อหน้าลูกน้องคนอื่น เป็นสิ่งที่หัวหน้างานที่ดีจะไม่ทำกัน ซึ่งหากต้องการตำหนิ
ควรเรียกมาพบเป็นการส่วนตัวย่อมดีกว่า ยกเว้นกรณีที่ผลงานของลูกน้องคนนั้นทำได้ดี ก็ควรชื่นชมต่อหน้าลูกน้อง
คนอื่น ๆ เพื่อเป็นแบบ อ ย่ า ง ที่ดีต่อไป
3. ปิดกั้น ความคิดเห็นของลูกน้อง
การทำงานส่วนที่สำคัญ มาก ๆ คือ ทักษะการฟัง ฟังให้เข้าใจ และแยกแยะข้อมูลเพื่อนำมาพิจารณาตัดสินใจ มากกว่าฟัง เ สี ย ง
ตัวเองเพียงข้างเดียวเพราะ การทำงานคนที่รู้ดีที่สุด คือ คนที่อยู่หน้างาน หากเรากล้าเปิดใจถามลูกน้องและฟัง
เ สี ย ง ลูกน้องด้วยความเป็นธรรม จริงใจ
เราจะได้ข้อมูลที่หลากหลายทั้งนี้ ลูกน้องคงไม่มีอำนาจตัดสินใจ แทนหัวหน้างาน แต่การได้ข้อมูลที่มาก ๆย่อมดีกว่า
ที่ไม่มีข้อมูลใด ๆ เลยจริงไหมครับ !!อีก อ ย่ า ง หากเราปิดกั้นความคิดของลูกน้องมากเท่าไหร่ ถึงเวลาเมื่อเราเปิดใจ
ฟังลูกน้องมากขึ้นก็อาจสายเกินแก้ เพราะลูกน้องอาจไม่กล้าพูด หรือไม่อยู่พูดแล้วก็ได้ครับ
4.สื่อ ส า ร ไม่ชัดเจน ในการมอบหมายงาน
การมอบหมายงาน มี 2 แบบ คือ แบบปากเปล่า และลายลักษณ์อักษรทั้งนี้ การมอบหมายงานโดยเฉพาะ วาจา ทุ ก ครั้ง
เวลามอบหมายงานต้องพูดให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากกว่า พูดห้วน ๆ สั้น ๆ เช่น พรุ่งนี้นำงานมาส่งพี่ตอนเช้าบนโต๊ะ
ทำงานนะจะสังเกตว่า ตัว อ ย่ า ง ที่ให้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
เพราะคำว่า “เช้า”ตีความหมายได้หลายเวลา ซึ่งหากเราไม่ได้ทวนคำพูดนั้นกลับจากลูกน้องย่อมอาจเกิดการคลาดเคลื่อน
ในเรื่องเวลาไม่มากก็น้อยนะครับ กลับกัน หากเราพูดว่า พรุ่งนี้นำงานมาส่งพี่ตอนเช้า เวลา 9.00 น.บนโต๊ะทำงานนะ
และก่อนให้ลูกน้องไปทำงาน ก็ทวนคำสั่งนั้นอีกครั้ง
จากกลูกน้องเพื่อให้การสื่อ ส า ร ตรงกันทั้งผู้ส่ง ส า ร คือ หัวหน้า และผู้รับ ส า ร คือ ลูกน้องย่อมมีโอกาสทำให้งานเดินไปได้
อ ย่ า ง ราบรื่น ไม่สะดุดหัวทิ่มจนงานหลุดเกิดความ ผิ ด พ ล า ด ครับทั้งนี้ หากลูกน้องนำงานมาส่งก่อนเวลา
ก็ควรชมบ้างเพื่อเป็นกำลังใจแต่หากยังไม่ถึงเวลานัดหมาย ก็ไม่ควรไปเร่งจี้เอางานนั้นนะครับ
ยกเว้นอาจเดินไปไถ่ถาม ด้วยคำพูดเชิง การให้คำปรึกษาเช่น งานเป็น อ ย่ า ง ไรบ้าง ติ ด ขัดตรงไหนให้พี่ช่วยไหม
เพื่อทำให้ลูกน้องเกิดขวัญกำลังใจที่ดีในการเป็นห่วงจากหัวหน้างาน ลองดูนะครับ
5.ทำหน้าท้อกับงาน ต่อหน้าลูกน้อง
บางครั้งคนเราย่อมมีอาการ ท้อถอยกับงานได้ ซึ่งไม่ผิดหรอกครับ เป็นเรื่องปกติแต่การท้อต่อหน้าลูกน้อง
ก็ไม่ควรทำเช่นเดียวกัน เพราะหากวันนี้หัวหน้ายังไม่เชื่อในงานนั้น ๆ ที่ทำลูกน้องก็ย่อมไม่เชื่อมั่น
ในตัวหัวหน้างานเช่นเดียวกันดังนั้น การเป็น อ ย่ า ง ที่ดีกับลูกน้องทั้งเรื่องงาน
และเรื่องส่วนตัวคือสิ่งที่หัวหน้างานที่ดีต้องคำนึงอยู่เสมอทั้งนี้ ทุ ก ครั้งที่เจอปัญหาในการทำงาน จง อ ย่ า เลือก
คิดแก้ไขปัญหาเพียงลำพังแต่ควรใช้หลักคิดการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยให้ลูกน้องช่วยกันเสนอความคิด
เห็นในการประชุมงาน อาจเป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์
เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันมากกว่าที่หัวหน้างานเอาแต่ เ ค รี ย ด อยู่คนเดียว เชื่อผมเถอะ !!
การทำงานที่ดีนั้น ต้องช่วยกันโดยหัวหน้างานต้องสร้างคำว่า
ร่วมใจ ร่วมคิด และร่วมทำ
ร่วมใจ = การสร้างความไว้ เ นื้ อ เชื่อใจเป็นตัว อ ย่ า ง ที่ดีให้กับลูกน้อง
ร่วมคิด = ช่วยกันคิดในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ร่วมทำ = ช่วยกันสร้างผลลัพธ์ของงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน
ทั้ง 5 ข้อ คือ สิ่งที่ผู้นำไม่ควรทำ ต่อ ลูกน้อง ในการปกครอง บริหารทีมลองสำรวจตนเองนะครับว่า ทุ ก วันนี้เรามี 5
ข้อที่ผมกล่าวถึงหรือไม่หากมีก็ควรปรับปรุงแก้ไข
คิดถึงเสมอว่า ใจเขาใจเราเรา อ ย า ก ได้ อ ย่ า งไรต่อผู้อื่น ก็ควรทำแบบนั้นก่อนเสมอครับ จำไว้ว่า
เราเลือกผู้นำเราไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นผู้นำที่ดี และเป็นผู้นำที่ภาวะผู้นำได้ครับ
ขอขอบคุณ d r f i s h.t r a i n i n g