1. รั กษาระยะห่าง
สาเหตุก็คือระหว่างคุณกับลูกน้องมีความสนิทสนมกันเกินไป
เช่น รู้เรื่องส่วนตัวกันและกัน ไปสังสรรค์ด้วยกันบ่อย ๆ หลังเลิกงาน
หากเจอคนที่สามารถแยกแยะระหว่างเวลาทำงานกับเวลาส่วนตัวได้ก็ถือว่าโ ชคดีไป
แต่ถ้าหากเป็นคนที่เห็นคุณเป็นเพื่อนเล่นตลอดเวลา
ควรเริ่มรั กษาระยะห่างกับเขาให้มากขึ้นลดการพูดคุยเรื่องส่วนตัวให้น้อยลง
หากมีโอกาสก็ลองคุยกันตรง ๆ น่าจะเข้าใจกันมากขึ้น
2. เข้าหาคนในทีมให้มากขึ้น
ในทางตรงกันข้ามหัวหน้าบางคนอาจจะมีระยะห่างกบลูกน้องมากเกินไป
เช่น พูดคุยกันเฉพาะเรื่องงาน หรือหัวหน้าเป็นฝ่ายสั่งให้ทำตามอย่ างเดียว
ลองเข้าหาพวกเขาให้มากขึ้น โดยการชวนคุยเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องงาน
หรือแสดงความเอาใจใส่คนทำงาน เช่น ลองชวนคุยเรื่องความสนใจ
ความคิดเห็นต่าง ๆ ซึ่งจุดนี้อาจจะเกิดเป็นไอเดียใหม่ ๆ
ที่สามารถนำไปพัฒนางานได้อีกด้วย
3. มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ถือเป็นอีกหนึ่งสกิลที่คนเป็นผู้นำควรมีในยุคนี้ เพราะคนทำงานมีความรู้สึกนึกคิด
บางวันอาจจะต้องจัดการงานเยอะหรือเจอปัญหามากมาย ที่ทำให้เกิดความกดดัน
หรือความเครี ยดและส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
หรือมีความจำเป็นที่จะต้องลาด้วยเหตุผลส่วนตัว ควรถามไถ่เหตุผลที่มาที่ไป
ยื่นมือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา แทนการจับผิดหรือดุด่ าว่ากล่าว
4. ลดบทบาทความสำคัญ
หากเจอลูกน้องอีโก้สูง ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่ง หรือสั่งงานไปแล้วไม่ค่อยทำตาม
หลังจากนี้ค่อย ๆ ลดบทบาทในทีมของเขาให้น้อยลง เช่น ไม่มอบหมายงานสำคัญ ๆ
หรือโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ให้ทำ แต่ให้เขารับผิดชอบงานง่าย ๆ
หรืองานเล็กงานน้อยให้เขาพอมีผลงานบ้าง
5. ไม่แทรกแซงงาน
หากมอบหมายงานให้ลูกน้องทำแล้ว ก็ควรไว้ใจให้พวกเขาได้รับผิดชอบ
และคุณก็คอยดูและอยู่ห่าง ๆ ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน ระหว่างนี้อาจจะลองถามไถ่เป็นระยะ
เผื่อพวกเขากำลังมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ
6. เปิดใจรับฟังความคิดเห็น
นอกจากนี้หัวหน้าควรเปิดใจรับฟังฟีดแบ็กในการทำงาน ปัญหา
หรือความคิดเห็นของพวกเขา ไม่ยึดเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่เพียงอย่ างเดียว
และหากมีการพูดคุยกัน ควรปล่อยให้พวกเขาพูดให้จบก่อน
ไม่ควรพูดแทรกหรือแย้งในทันที เพราะพวกเขาอาจจะมองว่าคุณปิดกั้น
หรือไม่ยอมรับฟังได้ ที่สำคัญควรแสดงความเอาใจใส่หรือห่วงใย
พวกเขาจากใจจริง ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง การแสดงออก สีหน้า น้ำเสี ยง และคำพูด
7. ไม่ตัดสินคนอื่น
หลายครั้งอาจจะพบว่า ผู้ที่เป็นหัวหน้ามีการวิพากษ์วิจารณ์งานของลูกน้องอย่ างรุ นแรง
และบางครั้งอาจมีการใช้คำหย าบคาบ นอกจากจะทำให้ลูกน้องไม่ฟังแล้ว
อาจจะทำให้ความสัมพันธ์และบรรย ากาศการทำงานแ ย่ลงไปด้วย
ซึ่งอย่ าลืมว่าประสบการณ์การทำงาน มุมมอง และความคิดของแต่ละคนนั้นแต กต่างกัน
คงจะดีกว่าหากทำความรู้จักลักษณะนิสัยของคนในทีมและเข้าด้วยวิ ธีการที่เหมาะสมกับแต่ละคน
8. ยอมรับความผิ ดพลาดบ้าง
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าก็ต้องการให้งานออกมาสมบูรณ์แบบ แต่อย่ าลืมว่า
มีหลายปัจจัยที่เกินการควบคุม บางครั้งคนในทีมก็มีการทำผิ ดพลาดกันบ้าง
การดุด่าหรือกล่าวโ ทษคนรับผิดชอบอาจทำให้มุมมองที่พวกเขามีต่อเราเปลี่ยนไป
และฟังเราน้อยลง คงจะดีกว่าหากหลังจากช่วยกันแก้ไขปัญหาแล้ว
ตัวหัวหน้าเองก็ควรกลับมาทบทวนด้วยเช่นกัน เช่น เราวางแผนงานมาดีหรือยัง
ให้งานย ากเกินไปหรือเปล่า เวลาในการทำงานน้อยเกินไปหรือไม่ พร้อมกับหาทางป้องกันไปด้วย
9. ปฏิบัติกับทุ กคนอย่ างเท่าเทียม
ไม่ว่าจะเป็นคนเก่า คนใหม่ หรือคนสนิท ในเวลางานก็ควรปฏิบัติกับทุ กคนอย่ างเท่าเทียม
และให้ความยุติธรรมกับทุ กคน ไม่ลำเอียงเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง
สามารถตักเตื อนและสั่งได้ทุ กคนเหมือนกัน ที่สำคัญควรปฏิบัติแบบเดียวกัน
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่นำเรื่องส่วนตัวของลูกน้องไปพูดต่อ
10. ให้พวกเขาตัดสินใจงานเองบ้าง
ในฐานะหัวหน้าไม่ควรกุมอำนาจทั้งหมดไว้คนเดียว ควรปล่อยให้ลูกน้อง
หรือคนในทีมมีอำนาจในการตัดสินใจงานเองบ้าง ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะผิดหรือถูก
แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นการกระทำที่ผิ ดพลาด ก็ควรให้กำลังใจกันและกัน
รับผิดชอบดีกว่าคอยคำสั่งคุณเพียงฝ่ายเดียว
ขอบคุณที่มา : jingjai999