สิ่งทำให้สำเร็จในการเรียน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงเรียน แต่เป็นความเอาใจใส่ของพ่อแม่มากกว่า
สมัยนี้ พ่อแม่หาโรงเรียนดี ๆ ให้ลูก หรือว่าหาโรงเรียนที่เพื่อนมีฐานะเดียวกันให้กับลูก
เห็นค่าเทอมของโรงเรียนเด็ กอนุบาล ประถม สมัยนี้แล้ว แพงกว่าของมหาวิทย าลัยเอกชนอีกครับ
คิดเห็นอย่ างไรกับบ้างครับที่ว่า สมัยนี้พ่อแม่หาโรงเรียนคิดว่าดูจากค่าเทอม การเรียนการสอน
ความสะดวกในการรับส่งสังคมของเพื่อน ๆ ลูก ฯลฯ แต่ผมคิดว่าสมัยนี้พ่อแม่
ไม่ได้เลือกโรงเรียนแต่เลือกสังคมในโรงเรียนมากกว่าครับ ท่านอื่น ๆ
คิดกับอย่ างไรบ้างครับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีความเชื่อเกี่ยวกับการเลือกโรงเรียนให้กับลูกอยู่ในห มู่พ่อแม่พอสมควร
นั่นก็คือ ความเชื่อที่ว่าการพย าย ามเฟ้นหาโรงเรียนที่ดี (มีชื่อเสี ยง เป็นโรงเรียนเก่าแ ก่
มีอุปกรณ์ด้านการเรียนการสอนครบครัน มีครูที่เก่ง มีโอกาสในการสอบเข้าสถาบันดัง ๆ สูง ฯลฯ) นั้น
อาจเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการันตีความสำเร็จในอนาคตของลูก ๆ แต่นั่นอาจไม่สำคัญอีกต่อไป
เพราะมีการศึกษาวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า การอบรมสั่งสอน เลี้ยงดูเด็ ก ๆ อย่ างดีจากพ่อแม่นั้น
“สำคัญ” กว่าการได้เข้าเรียนในโรงเรียนดี ๆ เสี ยอีก
คำกล่าวดังกล่าวมาจากงานวิจัยของนักวิจัยแดนอินทรี ที่เผยว่า การที่เด็ กจะประสบความสำเร็จใ
นการเรียนได้นั้น พ่อแม่มีส่วนสำคัญอย่ างมาก และพบว่า เด็ กที่พ่อแม่คอยมีส่วนร่วมในการทำการบ้าน
ให้กำลังใจ กระตุ้นให้ลูกเห็นความสำคัญของการศึกษา รวมถึงเข้าร่วมกิจกร รมต่าง ๆ กับทางโรงเรียนนั้น
มักจะเป็นเด็ กที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง
โดยการศึกษานี้จัดทำขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการวิเคร าะห์ข้อมูลของเด็ กวัยทีนราว 10,585 คน
จากโรงเรียนมัธยมประมาณพันแห่งในรัฐต่าง ๆ
นักวิจัยพบว่า ครอบครัวที่มีการจำกัดเวลาการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (ไม่เฉพาะแค่ทีวี
ปัจจุบันมีหน้าจอแสดงผลจำนวนมากที่มีความเกี่ยวพันต่อชีวิตประจำวันของเด็ ก
เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นเกม โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเกมแบบพกพา แท็บเล็ต ฯลฯ)
นั้นมีผลดีต่อสุ ขภาพของเด็ กอย่ างเห็นได้ชัด
ดร. Aric Sigma เผยว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ที่บ้านของเด็ กอายุ 10 ปีจะมีเครื่องเล่นต่าง ๆ
ที่พร้อมจะดึงดูดความสนใจจากเด็ กอย่ างน้อย 5 ชิ้น เปรียบได้กับพี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์ที่พ่อแม่ส่งมาให้กับลูก
เพื่อให้พวกเขาไม่กวน หรือร้องโยเย แต่ยิ่งมีอุปกรณ์เหล่านั้นมากเท่าใด ปัญหาสุ ขภาพของลูกก็พบได้มากเท่านั้น
“เด็ กในปัจจุบันมีความเสี่ ยงในการเกิดโ รคอ้วน เบาหวาน (ชนิดที่ 2) และโร คหลอดเลื อดหัวใจมากขึ้น
นอกจากนั้น การใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้โดยไม่บันยะบันยังยังส่งผลต่อสุ ขภาพจิต และทักษะการเข้าสังคมของเด็ กด้วย”
ด้านนักวิจัยจากนอร์ธแคโรไลนา ดร. Toby Parcel ก็ได้เปิดผลการสำรวจที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
โดยพบว่าการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ในการเรียนของเด็ กก็มีความสำคัญ ยกตัวอย่ างเช่น
การตรวจสอบการบ้านของลูกเป็นประจำทุ กวัน มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกเรียนในแต่ละวันอย่ างสม่ำเสมอ
อีกยังเข้าร่วมกิจกร รมที่โรงเรียนจัดขึ้นกับลูก ๆ ไม่เคยข าด ฯลฯ เพราะการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้พ่อแม่ทราบความคืบหน้าในการศึกษาเล่าเรียนของลูกนั่นเอง
ดร. Toby ยังพบว่า เด็ กที่ได้เรียนในโรงเรียนที่ดี มีสภาพแวดล้อมดี ๆ แต่พ่อแม่ไม่สนใจนั้น
ยังทำคะแนนได้น้อยกว่าเด็ กที่เรียนในโรงเรียนธรรมดา (ชื่อชั้นด้อยกว่าโรงเรียนกลุ่มแรก)
แต่พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเรียนของลูก โดยอ้างอิงจากคะแนนของเด็ กวัยรุ่นจำนวนหนึ่งที่เรียนในโรงเรียน
ที่อาจจะไม่ได้มีคุณภาพมากเท่ากับโรงเรียนชั้นนำ แต่เด็ กกลุ่มนี้มีพ่อแม่ที่สนใจในการเรียนของลูก
และพบว่า พวกเขาสามารถทำคะแนนสอบได้สูงกว่าเด็ กที่เรียนในโรงเรียนชั้นนำ
แต่พ่อแม่ไม่เอาใจใส่ในการเรียนเสี ยอีก (ผลการศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ใน
the journal Research and Social Stratification and Mobility)
ดร.Toby Parcel เจ้าของงานวิจัย เผยว่า
“โรงเรียนและพ่อแม่ล้วนมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเด็ ก แต่การมีส่วนร่วมของครอบครัวนั้น
พบว่าสำคัญกว่า และนำไปสู่การประสบความสำเร็จในการเรียนได้มากกว่า”
บางทีการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาอาจไม่ใช่การแก้ที่ระบบการเรียนการสอนแต่เพียงอย่ างเดียว
เหมือนที่หลายคนเข้าใจ แต่อาจต้องแก้ “ภาพรวม” ทั้งหมดในการจัดระบบการเรียนการสอนก็เป็นได้
และนั่นอาจต้องเริ่มให้คนเป็นพ่อแม่มีความเข้าใจ และหันมาร่วมมือพัฒนาการศึกษาของลูก ๆ ให้มากขึ้นนั่นเอง
“การศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่า พ่อแม่ควรตระหนักในความสำคัญของตนเองให้มากขึ้นว่า
สามารถช่วยให้ผลการเรียนของลูกดีขึ้นได้ และควรทุ่มเทเวลาให้กับลูก ๆ ด้วยการหมั่นตรวจสอบการบ้านของลูก
เข้าร่วมกิจกร รมของโรงเรียน และการอบรมให้ลูกทราบถึงความสำคัญของการศึกษา” ดร. Toby กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณที่มา : kubkhao