“ปราโมทย์” กับ “สมปอง” เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
ปราโมทย์ มีศักดิ์เป็นพี่ เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ส่วนสมปอง มีศักดิ์เป็นน้อง เขายังโสดอยู่
พี่ปราโมทย์ มีฐานะย ากจน แต่สมปองนั้นมีฐานะร่ำร วยกว่า
ด้วยเหตุนี้ ปราโมทย์จึงได้รับการอุดหนุนจุนเจือ จาก สมปอง เสมอมา
วันหนึ่ง…ปราโมทย์ บอกสมปองว่า ตนจะไปทำงาน ที่ต่างเมือง จึงฝากสมปอง ช่วยดูแลภรรย า
สมปอง ก็รับปากอย่ างดี บอกว่าจะดูแลให้ ไม่ต้องเป็นกังวล
ตั้งแต่นั้นมา ทุ กครึ่งเดือน สมปอง จะสั่งให้คนรับใช้ นำของกิน ของใช้
บรรทุ กใส่รถม้าเต็มคันรถ ไปให้ภรรย าของปราโมทย์ ภรรย าของปราโมทย์ จึงคิดว่า..
เป็นเช่นนี้ ก็นับว่าไม่เล ว เพราะได้รับการโอบอุ้มดูแล ดียิ่งกว่า ตอนอยู่กับสามีเสี ยอีก
ไม่ต้องทำงานก็มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ทำให้นางนึกขอบคุณสามี
ที่มีน้องร่วมสาบานดีเช่นนี้ ครึ่งปีผ่ านไป…
“เหตุการณ์ไม่เป็นอย่ างที่คิด คนรับใช้ของสมปอง ไม่ได้นำข้าวของใช้ ไปให้ภรรย าของปราโมทย์ “
ครึ่งเดือนก็แล้ว…
หนึ่งเดือนก็แล้ว…
สองเดือนก็แล้ว…
ภรรย าของปราโมทย์ จึงต้องขายข้าวของที่สมปอง เคยส่งไปให้เพื่อประทังชีวิต
ไม่ถึงครึ่งปี ข้าวของทุ กอย่ าง ถูกขายจนหมด นางจึงคิดจะทำงาน
เพื่อหาเลี้ยงตนเอง และเนื่องจากนางเคยเรียน เย็บปักถักร้อย มาตั้งแต่เ ด็ก
จึงลองเย็บรองเท้าผ้า ที่คนสวมใส่กันเป็นประจำขายเพราะว่า นางมีฝีมือดี
หรือชาวบ้านต่างสงส ารนาง ก็มิอาจทราบได้ ที่ทำให้ชาวบ้านพากันแ ย่งซื้อรองเท้า
ของนาง จนขายหมดเกลี้ยงทุ กวัน ไม่ว่านางจะตั้งราคาสูงเพียงใดก็ตาม
10 ปีผ่ านไป ปราโมทย์ ก็กลับมาในคืนหนึ่ง เมื่อเขารู้ว่า.. ตั้งแต่เขาจากไป
สมปอง ไม่เคยมาดูแลภรรย าของตน และส่งของกิน ของใช้ ให้เพียงแค่ครึ่งปี
หลังจากนั้นก็ไม่ได้ส่งของกินของใช้มาให้ภรรย า ของตนอีกเลย
เขาถอนใจและทำหน้าเศร้า แล้วกล่าวว่า..
“คนอยู่ น้ำใจอยู่ เมื่อคนจากไปทุ กอย่ างก็เปลี่ยนไป”
เมื่อสมปองทราบข่าวว่า พี่ปราโมทย์กลับมาแล้ว จึงส่งคนไปเชิญ
มาเลี้ยงต้อนรับ แต่ปราโมทย์ ปิดประตูไม่รับแขก สมปอง จึงไป
เชิญปราโมทย์ ด้วยตนเอง เขาคุ กเข่า อยู่ที่หน้าประตู จน ปราโมทย์ จำใจ
ต้องไปงานเลี้ยงที่บ้านของสมปอง ระหว่างกินเลี้ยงกัน ปราโมทย์ได้ “ต่อว่า..” สมปอง
ที่ไม่ดูแลภรรย าของตน ซึ่งเปรียบเสมือน พี่สะใภ้ของสมปอง
สมปอง จึงพาปราโมทย์ เข้าไปที่โรงเรือน ในสวนด อกไม้หลังบ้าน
เขาเปิดประตูออก แล้วเชิญปราโมทย์เข้าไป ปราโมทย์ก็ได้เข้าไป เขาต กตะลึงจนตาค้าง
เพราะข้างหน้าของเขานั้น มีรองเท้าผ้ากองเต็มห้องไปหมด เขาเข้าใจได้ทันที
จึงก้าวถอยหลังออกจากประตูด้วยความละอายใจ จากนั้น ก็ก้มลง
คุ กเข่าตรงหน้าสมปอง สมปองรีบเข้าไปพยุงให้พี่ปราโมทย์ ลุกขึ้น แล้วบอกว่า..
“เรื่องที่พี่ใหญ่ฝากฝังให้ข้า ดูแลพี่สะใภ้นั้น ข้าไม่เคยลืมเลย แต่นึกไม่ถึงว่า
ครั้งนี้ พี่ใหญ่จะไปนานถึงสิบปี เดิมทีข้าคิดจะอุดหนุนจุนเจือพี่สะใภ้
ด้วยของกิน ของใช้อย่ างบริบูรณ์ แต่อีกใจก็คิดว่า.. เมื่อนางได้มีกิน มีใช้
อย่ างสุขสบาย วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไร อาจเป็นเหตุให้นาง ก่อเรื่องที่มิดีมิงามขึ้นได้
ครั้นข้าจะไปดูแลนาง ก็เกรงว่าจะเป็นที่ครหาให้นางเสื่ อมเ สียชื่อเสี ยง
แล้วหากท่านกลับมา ข้าจะมาสู้หน้าท่านได้อย่ างไร แต่ก็น่านับถือที่พี่สะใภ้รู้จักทำมาหากิน
ด้วยความสามารถของตัวเอง สมกับที่ข้าได้ตั้งใจไว้ ข้าจึงให้คนไป ซื้อรองเท้า
ที่นางทำขายทุ กครั้งไป” ปราโมทย์ได้ฟังแล้วก็รู้สึก ซาบซึ้ง ยิ่งนัก
เขายืนจ้องหน้าสมปองอยู่นานแล้วกล่าวว่า..
“หนทางพิสูจน์ม้า ก าลเวลาพิสูจน์ใจคน”
การที่เราจะรู้นิสัยใจคอของใครอย่ างแท้จริง ก็ต่อเมื่อ… ได้อยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วนั่นเอง
เรื่องนี้ ทำให้คิดว่า.. บางครั้งในชีวิตของคนเรานั้น การจะทำความดี ต้องทำอย่ างอดทน
ลึกซึ้ง และไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ต้องไปหวังว่า.. ทำดีกับคนอื่นแล้ว เขาจะต้องดีตอบ
เพราะ มันจะทำให้เรา “ทุ กข์ใจ” หากไม่ได้การตอบแทน ตามที่หวังไว้
แม้คนอื่นอาจเข้าใจผิด ก็ให้คิดเสี ยว่า.. เราเป็นผู้ “ปิดท องหลังพ ระ “
แม้ไม่มีใครมองเห็น แต่เรามองเห็นความดี
ที่เราทำ แค่นี้ ก็อิ่มอก อิ่มใจ และมีความสุขแล้ว
ขอบคุณที่มา : chayend