1. ให้ลดความเร็วลง
ถ้าเรากำลังขับรถอยู่แล้วรถใหญ่ด้านหน้าเปิดไฟเลี้ยวสลับกันแบบ ซ้ายที-ขวาที
เป็นการเตื อนและบอกให้เรารู้ว่า “ให้ระวั งข้างหน้า และให้เราชะลอความเร็วลง”
อาจเป็นเพราะถนนด้านหน้ากำลังเกิดอุ บั ติ ห ตุหรือมีรถที่เบรกกระทันหัน
ทำให้รถบรรทุ กต้องลดความเร็วลงรวมทั้งบอกให้เรารู้ว่าให้ขับรถให้ช้าลงด้วย
และเราไม่ควรที่จะแซงโดยเด็ดข าด
2. ข้างหน้ามีเหตุ
ในขณะที่เรากำลังขับรถอยู่แล้วรถบรรทุ กที่วิ่งอีกเลนหนึ่ง หรือรถที่วิ่งสวนเรามากระพริบไฟสูงหลายครั้ง
เป็นการส่งสัญญาณบอกให้เรารู้ว่า ข้างหน้ามี ด่าน หรือ ข้างหน้ามีเ ห ตุเกิดขึ้น ให้เราลดความเร็วลง
เพื่อความป ล อ ด ภั ย รถอีกฝั่งหนึ่งจะมองเห็นสิ่งที่เกิดอยู่ด้านหน้าของเรา คนขับรถบรรทุ กส่วนมาก
จะทำการกระพริบไฟเพื่อเป็นการเตื อนให้เรารู้ว่าไม่ควรขับเร็วหรือให้ระวั ง
3. ขอทาง
ขณะที่เราขับรถอยู่แล้วมีรถบรรทุ กที่ต่อท้ายกันมา พย าย ามแฉลบหัวรถออกมาจากแถวพร้อมกับกระพริบไฟสูง 1 ครั้ง
เป็นการส่งสัญญาณว่า “ขอทางหน่อยนะ” เป็นการบอกให้รู้ว่าเขากำลังจะเร่งเครื่องเพื่อแซงขึ้นมาและต้องการขับ
เข้ามาในเลนของเรา หากเราเห็นและสามารถหลีกทางให้ได้ ก็ให้หลีกทางให้พร้อมกับกระพริบไฟสูงตอบกลับไป 1 ครั้ง
4. ห้ามแซง
เวลาที่ขับรถตามหลังรถบรรทุ กมาแล้วต้องการจะแซง ช่วงที่เรากำลังเร่งเครื่อง หากรถบรรทุ กคันหน้าเปิดไฟเลี้ยวขวา
โดยที่ไม่ได้จะเลี้ยวจริงๆนั้นเป็นการส่งสัญญาณบอกเราว่า “ห้ามแซงหรืออ ย่ าเพิ่งแซงตอนนี้”
เพราะอาจมีทางโค้งหรือมีรถกำลังวิ่งสวนมา ให้เรารอก่อน และเมื่อผ่ า นไปสักระยะ รถบรรทุ กจะลดความเร็วลง
พร้อมเปิดไฟเลี้ยวซ้ายขึ้นและหลีกทางให้เล็กน้อย เพื่อบอกให้เรารู้ว่าตอนนี้แซงได้แล้ว
5. แซงได้เลย
กรณีนี้เมื่อเราขับรถตามหลังรถบรรทุ กมาแล้วเขาเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเอาไว้พร้อมกับชะลอความเร็วลง
และเบี่ยงซ้ายเล็กน้อย เป็นการส่งสัญญาณบอกให้เราแซงไปได้เลย ทางข้างหน้าสะดวกแล้ว
6. ขอไปทางตรง
หากเรากำลังจอดติ ดไฟแดงอยู่แล้วเห็นว่ารถบรรทุ กข้างหน้าเปิดไฟฉุ กเ ฉิ น เป็นสัญญาณบอกให้เรา
รู้ว่าเขาต้องการจะตรงไป ไม่เลี้ยว หากรถคันหลังต้องการไปตรงเหมือนกันก็ให้ขับตามไปได้เลย
หรือหากจะเลี้ยวก็หาจังหวะเลี้ยวได้เลย เพราะการขับรถนั้นเมื่อเรามั่นใจได้แล้วว่ารถคันหน้าของเรา
จะไปทางไหนจะช่วยให้ง่ายต่อการตัดสินใจมากยิ่งขึ้นและปลอดภั ยขึ้นด้วย
ขอบคุณที่มา : krustory