1. เมื่อรู้สึกหมดไฟ ให้คุยกับตัวเอง
การพูดคุยไม่จำเป็นต้องเป็นคนอื่นเสมอไป การได้ใช้เวลาพูดคุยถามไถ่กับตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน
เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกหมดไฟ หรือไม่มีแรงจะทำอะไร ให้ลองหันกลับมาถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรกันแน่
เพราะคนที่รู้เรื่องของเราดีที่สุดก็คือตัวเราเอง เรารู้ว่าลึก ๆ แล้วเราต้องการอะไร
อย่ าปล่อยให้สังคมกลืนกินเราจนลืมฟังเสี ยงของตัวเอง
2. เขียนมันลงไป เมื่อเจอเรื่องแ ย่ ๆ
ในบางเรื่องเราก็ไม่ต้องการให้ใครมารับรู้ปัญหาของเรา แต่การได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น
ถ้าเราไม่ต้องการบอกใคร ลองหยิบกระดาษแล้วเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นที่ทำให้เรารู้สึกดาวน์
เขียนมันออกมาให้เราได้ระบาย และได้รู้ว่าตอนนี้เรากำลังเจอกับอะไรอยู่ และหาทางออกให้ตัวเอง
เมื่อเรากลับมาอ่ านมันอีกครั้ง เราอาจจะยิ้มกับตัวเองก็ได้ที่สามารถผ่ านจุด ๆ นั้นมาได้
และวันข้างหน้าไม่ว่าเราจะเจอกับอะไร เราก็จะผ่ านมันมาได้เช่นกันเหมือนทุ กครั้ง
3. ดับเครื่องชนกับความกลัว
หลายคนเมื่อเจอปัญหา ก็รู้สึกกลัวและหนีปัญหา ซึ่งมันไม่ทำให้ปัญหานั้นหายไปได้
แค่เราไม่เจอมันสักพัก แต่สักวันหนึ่งมันก็จะกลับมาหาเราอยู่ดี ฉะนั้นจงเตรียมใจให้พร้อม
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราไม่สามารถไปควบคุมมันได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือยอมรับความจริงและสู้กับมัน
ไม่ว่ามันจะหนักแค่ไหนแต่มันคือความจริงที่เราต้องเผชิญหน้าด้วย แล้วมันก็จะผ่ านไป
4. มีที่พึ่งทางใจ ไว้คอยช่วยเหลือ
การมีที่พึ่งทางใจ เป็นตัวชาร์จพลังให้เราได้มากเลยทีเดียว เราควรจะมีที่พึ่งทางใจสักทางไว้บ้าง
ไม่ว่าจะเป็น คนรัก ครอบครัว เพื่อน ศ าสนา กิจกร รมที่ชอบ หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง
ลองหาอะไรสักอย่ างที่ทำให้จิตใจเราได้ฟื้นฟูเมื่ออยู่กับมัน มันอาจจะไม่ต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
แต่สำคัญและมีวคามหมายกับเรามากพอที่จะทำให้ชีวิตเราดูสว่างขึ้น
5. ปล่อยมันไปตามนั้น
การยอมรับความจริง ในสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ จะทำให้เราสามารถไปต่อได้เร็วขึ้น
เพราะหากเรายังจมปลักอยู่กับความรู้สึกผิดหวัง หรือไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ
ชีวิต ก็คงไม่มีความสุข แต่หากเราคิดว่า ปล่อยมันให้เป็นไป
ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและอยู่กับมันได้ แล้วมองหาความสุขจากสิ่งที่มี ชีวิตเราก็จะไปต่อได้
ขอบคุณที่มา : bitcoretech