1. การใช้ชีวิตจริงไม่ได้มีให้เรียนรู้ในโรงเรียน
โรงเรียนสอนวิชาเลขว่าคิดเลขอย่ างไร สอนวิชาเคมีว่าต้องรู้สูตรว่าอะไรผสมอะไรจะออกมาเป็นอะไร
ไม่ใช่หลักสูตรพวกนี้ไม่ดี แต่หลักสูตรของโรงเรียนไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบทั้งหมดต่างหาก
ใช่ว่าการเข้าไปโรงเรียนและเรียนรู้วิชาเลข วิทย าศาตร์ สุขศึกษาได้หมดคือครบจบแล้ว
แต่มันยังข าดสิ่งที่มีความจำเป็นอย่ างมากอยู่ นั่นก็คือหลักสูตรการใช้ชีวิต
ที่ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่กลายเป็นว่าโรงเรียนส่วนใหญ่
กลับไม่มีสอนเ ด็กที่เดินออกมาใช้ชีวิตจริง ว่าต้องคิดอย่ างไร ต้องปรับตัวอย่ างไร
2. ชีวิตเป็นเรื่องไม่มีบทเรียนกำหนด
ถ้าคุณเรียนจบแล้ว จงจำไว้ว่าที่คุณได้เรียนรู้ในโรงเรียนไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีได้
จงอย่ าเชื่อสุ่มสี่สุ่มห้าในสิ่งที่คนอื่นบอกเล่าว่าตั้งใจเรียนวิชานี้ให้เก่งสิ จะเป็นโปรแกรมเมอร์
เป็นห ม อ เป็นวิศวกรเก่ง ๆ เพราะนั่นไม่ใช่วิ ธีเดียวที่จะทำให้คุณเก่งหรือประสบความสำเร็จ
ในวิชาชีวิตข้างหน้าได้เลย เพราะถึงแม้ว่าคุณจะได้เกรด 4 วิชาเลขตอนเรียน
ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตตอนทำงานคุณมีชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
และประสบความสำเร็จได้สูงมากกว่าปกติ การฝึกฝนและเรียนรู้ในสิ่งที่คุณทำต่างหาก
คือบทเรียนที่จะกำหนดความเป็นไปของคุณ
3. ไม่รู้จักผลของความผิด
จะพูดว่าไม่รู้จักข้อผิ ดพลาดอะไรเลยก็ไม่ถูกซะทีเดียว เอาเป็นว่ายังไม่รู้จักผลของการกระทำที่ผิ ดพลาดดีกว่า
เพราะว่าในชีวิตวัยเรียน ถึงแม้เราผิ ดพลาดบ่อยหรือมากมายขนาดไหนก็ยังไม่ร้ า ยแรงถึงขั้นล่ มสลาย (เจ๊ง) ได้
ยังมีพ่อแม่ คุณครูที่คอยประคับประคองอยู่ ต่างจากเมื่อคุณหลุดออกจากรั้ว เริ่มเข้าสู่สนามรบของชีวิตจริงแล้ว
มันจะไม่มีใครช่วยคุณได้นอกจากตัวคุณเองและมันแทบจะไม่มีโอกาสให้คุณได้แก้ตัวหรือกลับหลังหันไปเริ่มใหม่ได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ คือเ ด็กที่อาจไม่ได้เรียนเก่งแต่เมื่อออกมาข้างนอกกลับใช้ชีวิตได้ดีกว่า
พวกคนที่เรียนเก่งก็เพราะว่าคนเหล่านั้นรู้จักข้อผิ ดพลาดและเคยเผชิญด้วยตัวเองแล้ว
แต กต่างกับเ ด็กที่ไม่เคยออกมาสู่สนามรบและในโรงเรียนก็ไม่มีบทเรียนสอนให้รับมือเลย
ดังนั้นมันคงจะดีมาก ถ้าพวกหลักสูตรในโรงเรียนจะสอนให้พวกเขารู้จักยอมรับและเข้าใจข้อผิ ดพลาด
ที่อาจเจอในการใช้ชีวิตข้างหน้า จะได้รู้จักเตรียมตัวรับมือกันก่อนเผชิญโลกจริง
4. แ ก่นแท้ไม่ออก
ทุ กวันนี้หลักสูตรและการใช้ชีวิตในโรงเรียนส่วนใหญ่คือการทำตาม ไม่ใช่การเรียนรู้ ครูสั่งงาน เด็ กทำตาม
เด็ กไม่กล้าตั้งคำถามเพราะกลัวครูดุและครูก็สอนไปเพราะมันเป็นหลักสูตร
แต่กลับไม่ได้รู้ว่าจริงแต่ละคนมีอะไรเหมือนหรือไม่เหมือนกันในการเรียนรู้หรือเปล่า
สรุปคือคนเรียนเก่งกลายเป็นคนที่ทำตามได้ถูกต้องตามที่สั่ง มากกว่าเด็ กที่คิดแต กต่างและคิดเป็น
แทนที่ทุ กคนจะมีความแต กต่างกลับกลายเป็นเหมือนกันไปหมด
คนเรียนเก่งหลายคนที่จบมาแบบไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำว่าอย ากเป็นอะไร มารู้ตอนเริ่มต้นใช้ชีวิตจริงว่าชอบอะไร
อย ากทำอะไร สุดท้ายก็ต้องมาเรียนรู้ใหม่ ใช้ชีวิตใหม่ ในขณะที่คนอื่นไปถึงไหนกันแล้ว
5. ไร้จุดหมาย
อย่ างที่เราบอกไปข้างต้นครับว่าชีวิตส่วนใหญ่ในโรงเรียนคือการทำตามมากกว่าการเรียนรู้
ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคนที่เก่งในชั้นเรียนถึงสู้ไม่ไหวเมื่อต้องลงสนามชีวิตจริง
เพราะนอกจากจะไม่มีประสบการณ์ในการเผชิญและเอาตัวรอดแล้ว
ในโรงเรียนยังไม่สอนให้ปลดล็อคความสามารถหรือค้นพบตัวเองอีกด้วย
แต กต่างกับเด็ กที่ถึงแม้เรียนไม่เก่งแต่ก็ได้ลุยออกไปเผชิญอะไรใหม่ ๆ
ได้คิด ได้ทำ จึงดิ้นรนอยู่ในสังคมได้แบบลอยตัวมากกว่า
ขอบคุณที่มา : jingjai999