1. พูดให้น้อยกว่าผลงาน
โลกที่มี Social Media เป็นโลกที่อึกทึกคึกโครมใคร ๆ ก็เป็นผู้พิพากษาได้แค่เพียงคอมเม้นต์ใต้โพสต์แล้วหา “แนวร่วม” เข้ามาสนับสนุนก็พอ
ในยุคที่คนพูดน้อยเหลืออยู่ไม่มาก นั่นทำให้คนเหล่านั้นมี “เสน่ห์” มากขึ้น ในโลกของการทำงานผลงานคือสิ่งเดียวที่บริษัทต้องการอย่ างแท้จริง
(แต่ถ้าบางบริษัทต้องการแต่ “คำพูดดี ๆ” บริษัทนั้นกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับ “อนาคต” แน่นอน)เพราะผลงานเท่านั้นจะสร้างผลที่เป็นเงิ นให้แ ก่บริษัท
ผลงานยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งดีแต่ … คนที่ผลงานดีดันไปคุยใหญ่กว่าผลงานคนแบบนี้น่า “รำคาญ” มากกว่าน่า “นับถือ”
การพูดเพื่อเป็นแรงบันดาลใจกับ “การอ วดตัว” มันต่างกันการพูดเพื่อเป็นแรงบันดาลใจไม่จำเป็นต้องพูดบ่อย ๆ
คนเขาก็เห็นภาพอยู่แล้ว เค้ารอฟังแค่ว่า …แล้วฉันจะต้องทำยังไงต่อ หรือ จะช่วยอะไรฉันให้พิชิตเป้าหมายได้แบบนี้บ้ า ง?
การพูดเพื่อเปิดเผยผลงานที่จำเป็นในการแสดงตัวตนในบริษัทหรือ “ชื่อตำแหน่ง” ก็เรื่องหนึ่งครับ เราอาจจะต้องบอกสักหน่อยว่า “เราเป็นใคร?”
แต่การโอ้อ วด “แบบออกตัวแรง”มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะดีกว่าสิ่งที่เราทำเพราะสุดท้ายหลักฐานจริง ๆ
ไม่เคยอยู่ในคำพูดแต่คุณทำอะไรลงไปบ้ า ง นั่นแหละครับหลักฐานที่แน่นหนาที่สุด
2. ช่วยเมื่อไม่ต้องช่วยก็ได้
การช่วยเหลือคนอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ผมชอบทำอาจจะเพราะเห็นว่าเราทำได้ ไม่ได้เหนื่อยอะไร
แต่นอกเหนือจากนั้นการช่วยเหลือใครนั้นเป็นการสร้างบารมีอย่ างหนึ่งเราไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือใคร
เพราะหวังให้เขาทำดีกลับเพราะนั้นมันเหมือนการปล่อยกู้ที่เราต้องเ ค รี ย ดเรื่องเก็บด อกทุ กเดือน
การช่วยเหลือคนเหมือนการปลูกต้นไม้ต้องเข้าใจครับว่าไม่ใช่ทุ กต้นที่จะโตและไม่ใช่ทุ กต้นที่โต
แล้ว “ออกผล” สวยงามให้กับเรา แต่ยังไงก็ตาม “ประโยชน์” ของการปลูกนั้นก็ยังอยู่
ยกตัวอย่ างเช่น
โดยปกติแล้วถ้าเราอยู่ในตำแหน่งของฝ่ายจัดซื้ อ เราอาจจะช่วยหาข้อมูลสินค้าของคู่แข่งให้ก็ได้
ราคาตลาดเป็นยังไง?ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ไม่ใช่ “หน้าที่โดยตรง” ที่จะต้องมาช่วยเหลือ
หรือบางทีมีงานต้องประชุมกันถึงดึก มีลูกน้องคนนึงบ้ า นอยู่ไกลมากเราก็ไปส่ง
ทั้ง ๆ ที่มันอ้อมจากเส้นทางกลับบ้ า นช่วยโดยที่ไม่ต้องช่วยก็ได้มันแสดงถึงการช่วยเหลือของ “เพื่อนมนุษย์” ไม่ใช่แค่ “เพื่อนร่วมงาน”
ผมเชื่อว่า การแสดงออกเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อ “ความสัมพันธ์”เราไม่ควรแค่พูดว่ารักใคร เราต้องแสดงความรักให้เขาได้เห็น
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่คนอื่นเดื อดร้อน มันก็ดูกันตรงนี้แหละครับว่าเราเป็นแค่คนรู้จักชื่อกันหรือเป็นเพื่อนกันจริง ๆ
บารมีที่ดีต้องเกิดจาก “การให้” ไม่ใช่ตำแหน่งครับเพราะผมเชื่อว่าคนเราจะยอมรับความดีมากกว่าอำนาจ
3. ต่อยแรง ๆ แค่ทีเดียว
ผมชอบข้อคิดที่หนังสือ “รู้แล้วเหยียบไว้ เศรษฐีคนต่อไปคือคุณ” บอกเอาไว้ว่าถ้าอย า กจะเลี้ยงข้าวคน ให้เลี้ยงแพง ๆ ครั้งเดียว
ดีกว่าซื้ อ กาแฟให้เค้าทุ กวัน วันละแก้วเพราะนัยยะสำคัญ ทำให้คนจดจำ
ศิลปินดังหลายคน มีเพลงสร้างชื่อแค่เพลงเดียวแต่เพลงเดียวนั้นแหละทำให้ชื่อของเขาเป็นทื่รู้จักไม่ได้
แต กต่างจากแบรนด์ของตัวเราในบริษัทเราทำผลงานอะไรโดดเด่นเป็นตำนานได้ไหม
เราพลิกฟื้นจากข าดทุนเป็นกำไรได้ใน 6 เดือนเราทุบสถิติโดยการขายสินค้า A มากที่สุด
ตั้งแต่บริษัทเปิดมาเราสร้างทีมงานคุณภาพได้มีจำนวนมากที่สุด เป็นประวัติก าลเพราะปกติ Turn overate สูง
โดยส่วนตัวผมชอบงานที่เป็นงานใหญ่เพราะนั่นคือโอกาสในการสร้างตำนานอะไรก็ตามที่เป็น BIG IMPACT
คือภารกิจของเราในบริษัทเดี๋ยวนี้เราจะได้ยินคำว่า THINK 10X มากขึ้น (Exponential thinking)
และนั่นเป็นความทะเยอทะย า นที่ดีผลงานที่ทำให้คนจดจำไม่ลืม พูดถึงชื่อเราทีไรก็เล่าแต่เรื่องนี้
4. มีมารย า ทโดยเท่าเทียม
ผลงานกับความอาวุโสมันคนละเรื่องกันพอขึ้นประโยคแบบนี้ผมไม่ได้กำลังจะบอกให้ปีนเกลียวกับรุ่นพี่เรานะครับ
แต่กลับกันจงเคารพทุ กคนตาม “อาวุโส” เรื่องการไหว้เป็นวัฒนธรรมที่ดีที่สุดอย่ างนึงของคนไทยครับไม่ว่าเขาจะตำแหน่งอะไร
ถ้าเค้ามีอายุมากกว่าเราเขาก็สมควรได้รับความนอบน้อมจากเรา บางคนอาจจะไม่ได้ทำผลงานโดดเด่นเท่าเรา
จะด้วยความสามารถหรือเ นื้ อ งานก็ตามครับแต่เค้าก็เป็นบุคคลที่สมควรแ ก่การไหว้ หรือทักทายอย่ างให้เกียรติ
เชื่อผมสิว่าต่อให้เขาเป็นแค่ “คุณป้าแม่บ้ า น”มันจะมี “บางจังหวะ” ที่แกจะช่วยเราได้แน่นอนครับ
บางที “สัมมาคารวะ” มักจะไม่มาพร้อมกับความเก่งแต่ถ้ายิ่งเก่ง-ยิ่งน่ารัก ชีวิตเราจะโคตรลื่น งานเราก็ยิ่งง่ายขึ้น
เพราะเมื่อเราได้ดิบได้ดีกว่าเขาอาจจะไม่ใช่ทุ กคนที่ยินดีกับ “ความรุ่ง” ของเราแต่อย่ างน้อยก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งอย า กให้เราได้ดีขึ้นไปอีกครับ
ขอบคุณที่มา : jingjai999