1. ใครจะว่าอะไรก็ช่าง
ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่ างนั้นก็พอแล้ว เคยได้ยินคนพูดเรื่องการติ ดฉลากไหม
การติ ดฉลากก็คือการประทับตราว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพื่อให้ง่ายต่อการจัดประเภท ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าติ ดฉลากถูกก็ดีไป
แต่ถ้าเมื่อไหร่ติ ดฉลากผิด สิ่งนั้นก็จะไม่ใช่สิ่งที่เป็นตามฉลากก็เท่านั้น ในหลักการเดียวกัน
ถ้าใครมาว่าคุณส า ร พัดเรื่อง แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นอย่ างเขาบอกก็ไม่เห็นจะต้องคิดมากกับฉลากที่เขาเอามาติ ดไว้
ถ้าคุณเป็นน้ำตาลแล้วเขาเอาฉลากน้ำปลามาติ ดให้ก็ไม่ใช่ปัญหาของคุณ เขาเองต่างหากที่คิดผิด
2. ให้เกียรติงานที่ทำด้วยการทุ่มเททำงานอย่ างเต็มที่
อย่ าบ่นว่าไม่ชอบงาน นึกถึงกระเป๋ารถเมล์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใสสิ แล้วเปรียบเทียบกับเราที่นั่งบ่นอยู่นั่นแล้วว่าเหนื่อย ไม่สนุก
ถามว่างานหรือเปล่าที่ทำให้เราทุ กข์ จริง ๆ แล้วเราต่างหากที่ทำให้ตัวเองเป็นทุ กข์
เพราะนั่งพร่ำบ่นกับสิ่งที่ไม่ได้ดังใจ ถ้าใครได้ทำงานที่ชอบก็ดีไป แต่อย่ าลืมว่างานที่ชอบก็มี
ด้านที่ทำให้เราเหนื่อยได้เหมือนกัน ใช่ว่าหนทางการทำงานจะปูด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
สิ่งที่เราควรคิดก็คืองานคือสิ่งที่ทำให้เราใช้ชีวิตอย่ างคุ้มค่า อย่ าดูถู กงานของตัวเอง
ไม่เช่นนั้นเราก็ดูถู กตัวเองด้วยที่เลือกทำงานนั้น อย่ าลืมว่าเราต่างหากที่เป็นคนเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ
ดังนั้นทำงานที่เราเลือกในเวลานั้น ๆ
3. งานไม่ได้หนักทุ กวันสักหน่อย
เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว เวลางานล้นมือเราอาจท้อ แต่ท้อไปงานก็ไม่เสร็จ ลุกมาทุ่มเททำให้เสร็จ ๆ ไปดีกว่า
เหนื่อยแค่ไหนเดี๋ยวก็ได้พัก และสิ่งที่เราต้องทำเมื่องานเยอะ คือจัดระเบียบเส้นต า ย ของงานแต่ละชิ้น
เจรจาต่อรองถ้าคิดว่าจะไม่เสร็จตรงเวลา แล้วก็ค่อย ๆ ทำไปทีละงาน เดี๋ยวดีเอง
4. ถึงจะไม่เก่งงานนี้
แต่เราก็พย าย ามเต็มที่แล้ว บ่อยครั้งที่เราได้รับมอบหมายงานที่ไม่ถนัด ก็คิดเสี ยว่าไม่เป็นไร ทำให้เต็มที่
แต่ก่อนทำก็บอกคนที่มอบหมายหน่อยว่าไม่ค่อยถนัดนะ แต่จะทำเต็มที่
ผิ ดพลาดอะไรก็บอกได้ เขาจะได้ไม่คาดหวังมาก แต่ถ้าทำออกมาแล้วดีก็ถือเป็นกำไร
อย่ าเสี ยใจที่ทำงานบางประเภทไม่เก่ง เพราะเราก็อาจจะเก่งในงานประเภทอื่นก็ได้
จำไว้ว่าปลาอาจจะว่ายน้ำเก่งกว่าลูกสุนัข แต่ปลาก็วิ่งไม่ได้เหมือนกัน
ถ้าปลาตัวหนึ่งจะโดดขึ้นมาบนบกแล้วคืบคลานจนถลอกปอกเปิกก็คงไม่มีใครว่าอะไร เพราะมันเป็นปลาจริงไหม
ขอบคุณที่มา : jingjai999