มีอยู่วันหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื๊อกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าสำนัก
มีคนแปลกหน้าผ่ านมาแล้วถามเขาว่า “เจ้าพำนักอยู่สำนักขงจื๊อหรือ”
“ใช่ครับ ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ขงจื๊อครับ”
เขาตอบอย่ างภาคภูมิใจ
“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นผมขอถามคำถามคุณสักข้อ”
“ได้เลยครับ เชิญถาม..” ลูกศิษย์ตอบ
ในใจเขาคิดว่า คงเป็นพวกปัญหาแปลกประหลาดพิสดารไม่เหมือนใคร
คนแปลกหน้าถามว่า “โลกนี้ ปีหนึ่งมีกี่ฤดู”
ลูกศิษย์คิดในใจว่า คำถามง่าย ๆ แบบนี้ยังเอามาถามได้
จึงตอบไปอย่ างมั่นใจว่า “ปีหนึ่งมีสี่ฤดู”
คนแปลกหน้าสั่นหัว
“ไม่ถูก ปีหนึ่งมีแค่สามฤดู”
“คุณคงเข้าใจผิด สี่ฤดูแน่นอนอยู่แล้ว”
“สามฤดู” คนแปลกหน้าเถียงอย่ างมีน้ำโห
ฝ่ายลูกศิษย์พย าย ามแจกแจงรายละเอียดของทั้งสี่ฤดู
ให้ฟังอย่ างครบถ้วน แต่คนแปลกหน้าก็ไม่ยอมรับรู้
ทั้งสองโต้เถียงกันไม่ยอมจบ เลยต กลงกันว่า ต้องมีเดิมพันกันหน่อย
หากเป็นสี่ฤดู คนแปลกหน้าต้องโค้งคำนับฝ่ายลูกศิษย์ไปสามครั้ง
แต่หากคำตอบคือสามฤดู ฝ่ายลูกศิษย์ต้องเป็นฝ่ายโค้งคำนับ
พอดีเป็นจังหวะที่ขงจื๊อเดินออกมาหน้าสำนักตน
ลูกศิษย์จึงถือโอกาสเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง
พร้อมถามคำถามที่กำลังโต้เถียงกันอยู่
“ต กลงปีหนึ่งมีกี่ฤดูครับอาจารย์”
ขงจื๊อใช้สายตามองคนแปลกหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบเขาว่า
“ถ้าเจ้าจะเชื่อว่าปีหนึ่งมีสามฤดู มันก็ไม่ผิด”
ลูกศิษย์ทั้งต กใจและแปลกใจในคำตอบ
แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอาจารย์
คนแปลกหน้าดีใจอย่ างมาก “มาโค้งคำนับข้าเร็ว”
ลูกศิษย์จำใจต้องทำตามสัญญา ด้วยการโค้งคำนับคนแปลกหน้าไปสามครั้ง
เมื่อคนแปลกหน้าจากไปแล้ว ลูกศิษย์จึงถามขงจื๊อด้วยความสงสัยว่า
“อาจารย์ครับ ปีหนึ่งมีสี่ฤดูชัด ๆ
แต่ทำไมอาจารย์จึงบอกว่ามีแค่สามฤดู”
ขงจื๊อมองหน้าลูกศิษย์ ก่อนจะตอบอย่ างใจเย็นว่า
“เจ้าไม่เห็นหรือว่า คนแปลกหน้าคนนั้นนุ่งเขียวห่มเขียวมาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
ข้าจึงอย ากเปรียบเปรยเขาเป็นดั่งพวกตั๊กแตน ตั๊กแตนเกิดในฤดูใบไม้ผลิ และตา ยในฤดูใบไม้ร่วง
พวกมันจึงไม่เคยได้พบเจอฤดูหนาวเลย คนแปลกหน้าคนนั้นอาจมาจากแดนไกล
ที่แทบจะไม่มีฤดูหนาว ถ้าบอกเขาว่า ปีหนึ่งมีสามฤดูเขาก็จะพอใจ แต่ถ้าบอกเขาว่าโลกนี้มีสี่ฤดู
คงต้องทะเลาะโต้เถียงกันไม่จบไม่สิ้น แม้พ ระอาทิตย์จะต กดินไปแล้ว
ก็ยังจะหาบทสรุปไม่ได้ การที่เจ้ายอมคำนับเขาไปสามครั้ง
เสี ยเปรียบหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับเสี ยหายมาก
เรื่องจะได้จบกันเสี ยที จงอย่ าเสี ยเวลาไปโต้เถียงกับคนพวกนี้ให้เสี ยอ ารมณ์โดยใช่เหตุ”
เพื่อน ๆ หลายคนที่เคยอ่ านเรื่องนี้แล้ว ก็มักจะกลับมาเล่าให้ฟังว่า
เมื่อก่อนเจอคนที่ไม่ยอมคุยด้วยเหตุผล หรือเอาแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่
ก็จะโกรธ อ ารมณ์เ สีย อย ากเถียงให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย
แต่เดี๋ยวนี้เลิกอ ารมณ์ขุ่นมัวกับคนพวกนี้แล้ว เพราะคิดได้ว่าคนพวกนี้เป็นแค่
“คนสามฤดู” จิตใจก็จะสบายขึ้น
“คนสามฤดู” จะยืนกรานว่าตนมีเหตุผล รู้จริงและถูกต้องเสมอ
ย ากที่จะยอมรับความคิดเห็นคนอื่น นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอความจริง
ที่บ่งบอกถึงความเข้าใจผิดของพวกเขา
หรืออาจเพราะความดื้อรั้นในตัวเขา เพราะฉะนั้น หากเรามัวแต่เสี ยอ ารมณ์ไปโกรธคนพวกนี้
ก็เท่ากับเรากำลังทำร้ ายตัวเราเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถ้าเจอ “คนสามฤดู” ไม่แ ย่งชิง คือความสงบ
ไม่โต้เถียง คือความชาญฉลาด
ให้อภั ย คือการหลุดพ้น
ยุติให้เป็น คือการปล่อยวาง
โลกเรานั้น มีคนสามฤดูเยอะแยะไปหมด
จงจำนิทานเรื่องนี้ให้ดี แล้วนำออกมาใช้ในจังหวะที่จำเป็น
มันจะมีประโยชน์กับคุณแน่นอน
ขอบคุณที่มา : ธ ร ร ม ะ ส วั ส ดี