ลูกชาย : พ่อครับ ผมจะแต่งงานนะครับ
คุณพ่อ : แกต้องขอโ ทษพ่อก่อน
ลูกชาย : ทำไมผมต้องขอโ ทษล่ะครับ ผมทำอะไรผิด ?
คุณพ่อ : แกแค่พูดขอโ ทษก่อนได้มั้ยละ ?
ลูกชาย : เพราะอะไร ? ผมผิดอะไรครับพ่อ ทำไมผมต้องขอโ ทษ
คุณพ่อ : ขอโ ทษมาก่อน
ลูกชาย : ทำไมครับพ่อบอกเหตุผลมาก่อนว่าเพราะอะไร ?
คุณพ่อ : ขอโ ทษ พูดก่อนซิ แล้วพ่อจะอธิบายให้ฟัง
ลูกชาย : ผมอย ากรู้ว่าผมทำผิดอะไรครับพ่อ ?
คุณพ่อ : ขอโ ทษก่อน
ลูกชาย : ก็ได้ครับ ผมขอโ ทษพ่อครับ
คุณพ่อ : ตอนนี้แกพร้อมที่จะแต่งงานแล้ว
นี่เป็นบททดสอบแรกก่อนที่แกจะแต่งงาน เมื่อไหร่ที่แกรู้จักขอโ ทษโดยที่ไม่ต้องรู้ถึงสาเหตุและเหตุผล
แกมีคุณสมบัติในการแต่งงาน ชีวิตครอบครัวของแกจะยั่งยืนแต่ถ้าแกยังยึดติ ด ยึดมั่นถือมั่นว่าหากตนไม่ผิดก็จะไม่ขอโ ทษ
จะไม่เอ่ยปากขอโ ทษก่อนโดยไม่มีเหตุผลมารองรับ แบบนี้แกยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานมีครอบครัวหรอก
สักวันหนึ่งที่แกจะแต่งงานกับใครจำบททดสอบที่พ่อให้แกทำเมื่อสักครู่นี้ให้ดี พูดคำว่าขอโ ทษไม่จำเป็นต้องผิดเสมอไป
บางครั้งเราต้องขอโ ทษเพื่อรั กษาความรู้สึกของอีกฝ่าย จำไว้ว่า คู่รักไม่ใช่คู่แข่ง ยอมได้ก็ยอมไม่ต้องเอาชนะกันทุ กเรื่องก็ได้
“ขอโ ทษ” คือทำกล่าวของคนที่ทำความผิด สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับคู่ชีวิต หรือ ครอบครัว
บางครั้งก็ต้องพูดออกมาทั้ง ๆ ที่มันไม่มีที่มาและที่ไป ไม่มีเหตุและผลให้ถามหา
เพราะต่อให้เถียงกันจนชนะด้วยเหตุผลของใครคนใดคนหนึ่ง ผลลัพธ์คือแพ้ราบคาบด้วยกันทั้งสองฝ่าย
สิ่งนี้คือความต้องการของคนทั้งสองหรือไม่ ? คำตอบคือไม่ แต่ทำไมเวลาไม่เข้าใจกัน
กลับไม่กล้าขอโ ทษอีกฝ่าย คำตอบคือ เพราะทิฐิ หากใครคนใดคนหนึ่งง้ออีกฝ่ายหนึ่งก่อน ขอโ ทษอีกฝ่ายหนึ่งก่อน
เธอจงรู้ไว้เขาอาจไม่ใช่ฝ่ายผิด แต่เพราะเขารักอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่า เขาแค่เป็นผู้ที่ยอมลดอัตตาของตัวเองลงก่อน
เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเอ่ยคำขอโ ทษ อีกฝ่ายหนึ่งต้องพร้อมให้อภั ย ให้โดยไม่ติ ดใจ
อีกหนึ่งเคล็ดลับของการประคองชีวิตคู่ก็คือ คำขอโ ทษที่ไม่ต้องมีเหตุผล
ขอบคุณที่มา : y i m p a n n