ชายชราคนหนึ่ง ที่อาศัยช่วงบั้นปลายชีวิตอยู่ในบ้านหลังปานกลางของเขา พร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมายที่เขาได้เก็บสะสมไว้ตอนยังมีแรงหา ภรรย าของเขาได้จากไปหลายปีแล้ว เหลือแต่ลูก ๆ ทั้ง 3 คน แต่ทุ กคนต่างเรียนจบและไปทำงานที่ต่างจังหวัด ต่างประเทศกันหมด นาน ๆ ทีจะพากันแวะมาเยี่ยมพ่อก็ 2-3 ปีครั้ง
จะมีก็แต่หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่มักจะมาอยู่เป็นเพื่อนชายชราคนนี้ ซึ่งลูกๆทั้ง 3 คนก็รู้ว่า หนุ่มคนนี้มักจะเข้ามาบ้านของพ่อเขาบ่อย ๆ และลูก ๆ จะบอกให้พ่อระวั งตัว ระวั งของในบ้านหายไป เพราะหนุ่มคนนี้เข้าหาพ่อเพื่อหวังสมบัติของพ่อ พ่อก็ได้แต่บอกลูก ๆ กลับทางโทรศัพท์ไปว่า
“พ่อรู้ พ่อไม่ได้โ ง่นะ อยู่จนมาถึงอายุปูนนี้แล้ว ใครเป็นยังไง ทำไมจะไม่รู้”
วันเวลาผ่ านไป หนุ่มน้อยก็เที่ยวมาดูแลชายราไม่เคยข าด จนถึงวันสิ้นใจ ลูก ๆ เมื่อทราบข่าว ก็พากันกลับมาบ้านเพื่อที่จะจัดการงานพ่อ รวมถึงพินัยกร รมที่พ่อได้เขียนเอาไว้
เมื่อทนายอ่ านพินัยกร รม ลูก ๆ ทั้ง 3 ต่างมีสีหน้าที่ดูไม่ค่อยพอใจ และหันไปมองหนุ่มคนนั้นด้วยความโกรธเคือง เนื่องจากเจ้าของพินัยกร รมผู้เป็นพ่อ ได้ยกของสะสมที่มีค่าทั้งหมดให้กับหนุ่มคนนั้นไป
ในพินัยกร รมยังเขียนต่อว่า “ข้าทราบดี ว่าหนุ่มคนนี้ที่มาดูแลข้า เพราะเขาหวังสมบัติของข้า แต่ในขณะที่ข้าต้องมีชีวิตอยู่อย่ างเดียวดายตอนแ ก่ ไม่มีใครคิดจะอย ากมาดูแล เขาคือคนเดียวที่ดูแลข้าอย่ างแท้จริง ลูก ๆ ต่างพร่ำบอกว่ารักพ่อ แต่ก็เป็นแค่คำพูด ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยมาดูแล คำว่ารักพ่อ จึงกลายเป็น รักที่ไม่จริง”
“กลับกัน ที่พากันบอกว่าหนุ่มคนนี้ทำดีด้วยเพราะหวังสิ่งตอบแทน แต่ความรักความเอาใจใส่ของเขา ที่ดูแลมาเป็น 10 ปี ความรักปลอม ๆ ที่ใครก็พูดกัน กลับเป็นรักจริง เป็นเรื่องจริงที่สัมผัสได้”
ความรัก ไม่ได้จำกัดแค่คนที่มีเชื้อไขเดียวกัน แต่เพียงแค่คนที่ถูกชะตาต่อกัน ทำดีให้กัน คอยช่วยเหลือดูแลกันย ามลำบาก ย่อมเป็นความรักความอบอุ่นที่มากเกินกว่าจะเอาคำว่า ครอบครัวเดียวกัน มาตีกรอบไว้ได้ บางคนครอบครัวเดียวกัน ก็ทำร้ ายกันมากกว่าคนข้างนอกเสี ยอีก
ขอบคุณที่มา : bitcoretech