1. ไม่แยกแยะ เงิ นของธุรกิจ ออกจากเงิ นส่วนตัว
เพราะคิดว่าคือเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ตั้งเงิ นเดือนให้ตัวเอง
คือง่าย ๆ เป็นเจ้าของเงิ นทั้งหมดอยู่แล้ว จะใช้อย่ างไรก็ได้ นี่เป็นความคิดเริ่มต้นที่ผิด
เพราะต้องมอง ให้ธุรกิจเป็นเหมือนบุคคล อีกคนหนึ่งเลยนะ ที่เรารับจ้างทำงานให้อยู่
เวลาเราจ้ างใคร ก็จ่ายเงิ นเดือนชัดเจน และใช้เกินกว่านั้นไม่ได้
แต่ตัวเราซึ่งรับจ้ างธุรกิจที่เราก่อตั้งขึ้นนั้น กลับใช้เงิ นได้ไม่จำกั ด
มันส่งผ ลทำให้เ งิน ที่เป็นค่าใช้จ่าย แต่ละเดือนไม่คงที่ในแต่ละเดือน
ดังนั้น ต้องตั้งเงิ นเดือนให้ตัวเอง และจ่ายเงิ นเดือนเมื่อสิ้นเดือน เหมือนพนักงานคนอื่น ๆ
และก็ต้องใช้เงิ นแค่นั้น ห้ามหยิบมาจากลิ้ นชักอีก ต้องไปหายืมคนอื่นเอาเอง
ถ้าจะยืมจากลิ้ นชักจริง ๆ ก็ต้องจดและจากนั้นต้องนำมาคืน
2. ไม่ทำรายรับ-รายจ่าย
พอจ่ายเงิ นเดือนให้ตัวเอง จากนั้นก็ควรจะทำบัญชี รายรับ-รายจ่ายให้ตัวเอง
เอาแบบคร่าว ๆ ก็ได้ ให้พอรู้ว่าแต่ละวัน จ่ายอะไรไปแค่ไหน เหลือเ งินใช้
ได้อีกเท่าไหร่ไม่ใช่ใช้สนุกมือไปเรื่อย และเงิ นเดือนที่ ตั้งให้ตัวเองไม่พอใช้ขึ้นเงิ นเดือนให้ตัวเองซะ
ในข่อนี้จะขึ้นเท่าไหร่คงไม่มีใครว่า แต่มันก็ควรเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผล และไม่ทำให้กระทบ
กับรายรับธุรกิจของเราด้วย มันจะรู้ได้อย่ างไรล่ะ ว่าไม่กระทบก็ต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
ของธุรกิจด้วย หากไม่ทำ อันนี้แ ย่เลย ของส่วนตัวขิ้เกียจทำยังพอได้ แต่ของธุรกิจ
ไม่ทำบัญชีเดี๋ยวจะร วยแบบไม่รู้เรื่อง และเจ๊ งแบบไม่รู้เรื่องได้เหมือนกัน
3. การใช้เ งินที่ผิดประเภท
เพราะเพื่อนผมเอาเ งิน ที่หยิบจากลิ้ นชักไปซื้ อข้าวกิน ไปซื้ อของใช้เข้าบ้ าน ไปผ่ อ น รถ
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวต้องใช้เงิ นส่วนตัวสิ แต่เงิ นของธุรกิจ
ควรจะจ่ายในสิ่งที่เกี่ยว ข้องกับธุรกิจสิ เช่น ชำระห นี้การค้ า ซื้ อวัตถุดิ บ จ่ายเ งินเดือน ฯลฯ
ตอนที่รับเ งินจากลูกค้ า ในเงิ นแต่ละก้อนที่ได้รับมานั้น ประกอบด้วยต้นทุ นของสินค้ า
ต้นทุนค่ าดำเนินการ และกำไ ร อยู่ในนั้นทั้งหมด กลับกันเวลาที่เราหยิบออกมา
กลับมองว่าวันนี้ รับมาเท่าไหร่ มองว่าเป็นรายรับล้วน ๆ ไม่คิดจะแย กทุ นแยกกำไรสักนิด
และเมื่อเอาไปใช้ไม่ถูกประเภท มันก็เท่ากับว่า ได้ใช้ทั้งกำไ รและต้นทุ นไปทั้งหมดเลย
ทีนี้ก็จะอยู่ในอาก าร ทุนหด กำไรไม่เหลือ ฉะนั้นแล้วคิดให้ดีนะ เวลาจะทำอะไร
ขอบคุณที่มา : san-sabai